SCGC จับมือ AboitizPower ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ในฟิลิปปินส์ เดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกในฟิลิปปินส์ ด้วยดิจิทัลโซลูชันครบวงจร จาก REPCO NEX

SCGC จับมือ AboitizPower ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ในฟิลิปปินส์
เดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกในฟิลิปปินส์
ด้วยดิจิทัลโซลูชันครบวงจร จาก REPCO NEX

กรุงเทพฯ – 13 มิถุนายน 2567 : Aboitiz Power Corporation (AboitizPower) หนึ่งในผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ในฟิลิปปินส์ ร่วมกับ เร็ปโก เน็กซ์ (REPCO NEX) ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC
ผู้ให้บริการโซลูชันด้านอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ลงนามความร่วมมือในโครงการอาร์คังเฮล (Project Arkanghel) เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกในประเทศฟิลิปปินส์ เพิ่มเสถียรภาพการผลิตไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีแบบจำลองเสมือน (Digital Twin) สอดรับกับเมกะเทรนด์ความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โครงการอาร์คังเฮล (Project Arkanghel) เป็นโครงการพัฒนาแบบจำลองเสมือนของโรงไฟฟ้า (Digital Twin) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าสามารถทำการจำลองกระบวนการทำงานภายในโรงไฟฟ้าได้ โดยสามารถคาดการณ์ประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้นจริง ด้วยการดำเนินงานตามปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อกำหนดแนวทางการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ตลอดจนสามารถตรวจจับความผิดปกติล่วงหน้าได้ โดยจะเริ่มพัฒนาให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินแบบเตาเผาระบบฟลูอิไดซ์เบดแบบหมุนเวียน (Circulating Fluidized Bed: CFB) ของ AboitizPower ได้แก่ โรงไฟฟ้า Therma Visayas กำลังการผลิต 340 เมกะวัตต์ เมืองโตเลโดซิตี้ จังหวัดเซบู และโรงไฟฟ้า Therma South กำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์ เมืองดาเวา ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนอื่น ๆ ในอนาคต


นอกจากเทคโนโลยี CFB ของโรงไฟฟ้า ที่นำความร้อนจากการเผาไหม้กลับมาหมุนเวียนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว เทคโนโลยี Digital Twin จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสนับสนุนและยกระดับการบริหารจัดการประสิทธิภาพของสินทรัพย์ (Asset Performance Management) ตลอดช่วงวงจรชีวิตของสินทรัพย์ (Asset Life Cycle) ผ่านกระบวนการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance) ทำให้เกิดการทำงานเชิงรุก และส่งผลให้ลดช่วงเวลาที่ต้องหยุดเดินโรงไฟฟ้าทั้งในส่วนที่วางแผนและนอกเหนือจากแผน (Planned and Unplanned Downtime)
นายซานโดร อบอยทิซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท AboitizPower กล่าวว่า “โรงไฟฟ้าอัจฉริยะทั้งสองแห่งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความพร้อมในการส่งกระแสไฟฟ้า
ในสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เราต้องรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน การนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ข้อมูลสมัยใหม่ (Data Science) มาประยุกต์ใช้กับสินทรัพย์สำคัญที่มีอยู่ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับ Energy Transition Journey ของ AboitizPower”


นายอัลโด รามอส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ สายโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน บริษัท AboitizPower กล่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด และมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการพลังงานเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 16% ระหว่างปี พ.ศ. 2558 ถึง 2564 ความต้องการในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นถึง 22% ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งความท้าทายในการพัฒนาสภาพเศรษฐกิจและสังคม ความพยายามบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ท่ามกลางความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความพยายามในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มากที่สุด นำไปสู่การเริ่ม Project Arkanghel ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งจำเป็นต้องเร่งทำในระหว่างที่เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนยังอยู่ในช่วงพัฒนา”

นายมงคล เฮงโรจนโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC กล่าวว่า “แรงขับเคลื่อนสำคัญของเมกะเทรนด์ด้าน AI และ ESG คือ ภาคพลังงาน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานและเป็นเสาหลักในการพัฒนาของทุกประเทศ REPCO NEX พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้ร่วมกับ AboitizPower ผู้นำภาคพลังงานของฟิลิปปินส์ ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมงาน REPCO NEX ทั้งในด้านดิจิทัลโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ และความเป็นเลิศด้านปฏิบัติการ (Operational Excellence) จะช่วยสนับสนุนให้โครงการนี้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มและเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืน”

นายชาคร กรัยวิเชียร กรรมการผู้จัดการ REPCO NEX ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC กล่าวว่า “REPCO NEX จะนำข้อมูลขนาดใหญ่เข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ และสร้างแบบจำลอง เพื่อแจ้งเตือน และให้คำแนะนำในการเดินโรงไฟฟ้า ซึ่งแบบจำลองดังกล่าว สามารถนำไปใช้ปฏิบัติงานได้จริง ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ REPCO NEX ยังจะช่วยพัฒนาองค์ความรู้ด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรของ AboitizPower โดยนำศักยภาพด้าน Operational Technology(OT) มาผสานกับ Information Technology(IT) ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้รวดเร็วและดียิ่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากจะเพิ่มปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้แล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย ความร่วมมือระหว่าง AboitizPower และ REPCO NEX ในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกของประเทศฟิลิปปินส์ได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน”

###